news icom tech

อัพเดทข่าว กิจกรรม โปรโมชั่น และเทคนิคต่างๆ ให้คุณทราบก่อนใคร

เตือนโลกเจออาวุธไซเบอร์-สงครามโลกครั้งที่ 3

[News]Kaspersky : 6 November 2012


ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางอินเตอร์เน็ตเรียกร้องทั่วโลกทำสนธิสัญญาต้านอาวุธไซเบอร์

           นายยูจีน แคสเปอร์สกี ผู้เชี่ยวชาญด้านความมั่นคงทางอินเตอร์เน็ต เรียกร้องในที่ประชุมซัมมิต รอยเตอร์ส์ โกลบอล มีเดีย แอนด์ เทคโนโลยี ที่กรุงลอนดอน ให้ทั่วโลกเร่งทำสนธิสัญญาเพื่อรับมือกับอาวุธไซเบอร์ หลังจากเมื่อเดือนที่แล้ว บริษัทด้านความปลอดภัยไอทีของเขา ค้นพบว่ามีการปล่อยไวรัส "เฟลม" มีอานุภาพสร้างความเสียหายสูงในโลกไซเบอร์ พร้อมยืนยันว่า โลกกำลังมุ่งหน้าเข้าสู่ยุคใหม่ของสงครามไซเบอร์

          นายแคสเปอร์สกี ซึ่งเป็นซีอีโอแคสเปอร์สกี แล็บ เผยว่า ห้องแลบของเขาได้ค้นพบรหัสซอฟต์แวร์การแพร่ระบาดของอาวุธร้ายแรงในโลกไซ เบอร์ ไวรัส "สตุ๊กซ์เน็ท" และ "เฟลม" ที่เชื่อกันว่าสหรัฐและอิสราเอลนำมาใช้เพื่อโจมตีโครงการนิวเคลียร์ของ อิหร่าน

          อย่างไรก็ตาม ซีอีโอ บริษัทด้านความมั่นคงทางอินเตอร์เน็ตในรัสเซียรายนี้ ไม่ได้ให้ความเห็นว่าใครอยู่เบื้องหลังการปล่อยไวรัสทั้งสองตัว บอกแต่เพียงว่า ไม่แปลกใจที่จะเกิดการก่อวินาศกรรมทางไซเบอร์ ภายใต้การสนับสนุนของภาครัฐ

          "ขณะนี้ เรากำลังอยู่ในยุคของอาวุธไซเบอร์ โลกเปลี่ยนไปแล้ว ไม่ใช่แค่ฮูลิแกน หรืออันธพาลทางไซเบอร์ และไม่ใช่แค่การก่ออาชญากรรม แต่เกมนี้มีรัฐบาลเข้ามาเล่นด้วย ผมกลัวว่าจะเกิดสถานการณ์เลวร้ายที่สุด และผมก็คาดว่า จะเกิดการก่อการร้ายทางไซเบอร์"ซีอีโอ แคสเปอร์สกี แลบ กล่าว

          ทั้งนี้ แคสเปอร์สกี แลบ ที่ค้นหาต้นตอของไวรัสบันลือโลกทั้งสองตัวอย่างต่อเนื่อง ระบุว่า ไวรัส สตุ๊กซ์เน็ท และ "เฟลม" ต่างมีที่มาจากแหล่งเดียวกัน และมีพื้นฐานโครงสร้างรหัสคล้ายกัน เรียกได้ว่าเป็นการพัฒนาต่อยอดไวรัส เฟลม ต่อจากรุ่นพี่ที่ชื่อ สตุ๊กซ์เน็ท ที่เชื่อว่าถูกสร้างขึ้นมาเพื่อทำลายระบบคอมพิวเตอร์โครงการนิวเคลียร์ อิหร่าน ทำให้ภาพของสงครามไซเบอร์ ที่เกิดขึ้นในโลกนี้ มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น ทั้งยังทำให้ความวิตกว่า จะเกิดสงครามโลกครั้งที่สามมากขึ้นตามไปด้วย

          การใช้ไวรัสคอมพิวเตอร์เป็นอาวุธที่มีราคาถูก เมื่อเทียบกับค่าใช้จ่ายในการพัฒนาและผลิตอาวุธชนิดอื่นๆ ที่ใช้ทำลายล้างกันเป็นรูปธรรม โดยแคสเปอร์สกี ประเมินว่า ต้นทุนการพัฒนาไวรัสเฟลมต่ำกว่า 100 ล้านดอลลาร์สหรัฐ หรือราว 3,000 ล้านบาท

ที่มา : http://www.bangkokbiznews.com